คลินิกไส้เลื่อน
ถ้าเป็นไส้เลื่อนควรทำอย่างไร ปล่อยทิ้งไว้จะเป็นอันตรายหรือไม่?
“ไส้เลื่อน” คือ ภาวะที่มีลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ อวัยวะภายในหรือเนื้อเยื่อบางส่วนเคลื่อนตัวออกจากตำแหน่งเดิมผ่านช่องทางที่ปกติหรือผนังรายรอบที่มีความผิดปก
สาเหตุของไส้เลื่อน
โดยส่วนใหญ่ไส้เลื่อนมักเกิดจากผนังหน้าท้องบางจุดมีความอ่อนแอหรือหย่อนยานผิดปกติ
ซึ่งส่วนมากจะเป็นความผิดปกติที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด
ทำให้ลำไส้ที่อยู่ข้างใต้ไหลเคลื่อนเข้าไปอยู่ในบริเวณนั้น ๆ ทำให้เห็นเป็นก้อนตุง
มีส่วนน้อยที่เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายหลัง (เช่น
เกิดจากแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง)
โดยมักจะมีอาการแสดงเฉพาะในเวลาที่มีแรงดันในช่องท้องสูง (เช่น เวลาไอ จาม
เบ่งถ่าย ร้องไห้ ยกของหนัก ฯลฯ) โรคไส้เลื่อนแบ่งออกได้เป็นหลายชนิดตามตำแหน่งที่อวัยวะเคลื่อนไปอยู่และตามสาเหตุที่เกิด
ซึ่งไส้เลื่อนแต่ละชนิดจะมีอาการ ภาวะแทรกซ้อน และการรักษาแตกต่างกันไป
(ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น)และการรักษาส่วนใหญ่มักจะต้องอาศัยการผ่าตัดได้แก่
ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ (Inguinal hernia) เป็นไส้เลื่อนชนิดที่พบได้บ่อยในเด็กโตและผู้ใหญ่ อาจพบได้ประมาณ 1-2% ของประชากรทั่วไป พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเป็นสิบ ๆ เท่า (ประมาณ 25 เท่า) ส่วนใหญ่มักเกิดในวัยกลางคนจนถึงผู้สูงอายุ และนับเป็นไส้เลื่อนชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดประมาณ 75% ของไส้เลื่อนทั้งหมด และไส้เลื่อนชนิดนี้ยังแบ่งย่อยออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
- Indirect inguinal hernia เป็นไส้เลื่อนชนิดที่เกิดจากความผิดปกติมาตั้งแต่ตอนเป็นตัวอ่อนในครรภ์ โดยในขณะตั้งครรภ์อยู่ในช่วง 21-25 สัปดาห์ อัณฑะซึ่งอยู่ในช่องท้องจะเคลื่อนตัวลงมาอยู่ในช่องท้องที่บริเวณขาหนีบ และเคลื่อนตัวลงไปที่ถุงอัณฑะก่อนที่มารดาจะคลอดออกมาและช่องที่บริเวณขาหนีบก็จะปิดไป หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น คือ ช่องไม่ปิด ลำไส้ก็จะเคลื่อนตัวมาอยู่ในช่องนี้และบางครั้งอาจเคลื่อนลงไปจนถึงถุงอัณฑะได้ ถึงแม้จะเป็นความผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด แต่การเกิดเป็นไส้เลื่อนได้นั้นมักจะพบเมื่อเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนขึ้นไปแล้ว แต่ในเด็กก็ยังสามารถพบได้บ้าง ส่วนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนชนิดนี้ได้มากกว่าเด็กที่คลอดตามกำหนดอีกด้วย
- Direct inguinal hernia เป็นไส้เลื่อนชนิดที่พบได้เฉพาะในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะวัยสูงอายุ โดยเกิดจากเนื้อเยื่อพังผืดชื่อว่า Transversalis fascia ซึ่งอยู่บริเวณขาหนีบในตำแหน่งเฉพาะที่เรียกว่า Hesselbach triangle เกิดความหย่อนยานไม่แข็งแรง จึงทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวดันพังผืดเหล่านี้ออกมาจนปรากฏเป็นถุงบริเวณขาหนีบ แต่จะไม่ลงไปอยู่ในถุงอัณฑะ
1. ไส้เลื่อนที่สะดือ (Umbilical hernia) หรือที่เรียกกันว่า “สะดือจุ่น” เมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว ผนังหน้าท้องตรงสะดือจะปิดไปตั้งแต่ชั้นของผิวหนัง ชั้นของกล้ามเนื้อ และมีชั้นของพังผืดเข้ามาปกคลุม ถ้าหากผนังหน้าท้องส่วนที่อยู่ใต้ชั้นของผิวหนังปิดไม่สนิทแล้ว บางส่วนของลำไส้ก็จะเคลื่อนตัวออกมาอยู่ใต้สะดือและดันจนสะดือโป่งได้ ซึ่งมักพบได้ในทารกแรกเกิด ถ้าเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะมีโอกาสพบได้มากขึ้น พบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชายในอัตราส่วน 3:1 และส่วนใหญ่มักจะหายได้เองภายในอายุ 2 ปี โดยไม่ต้องทำอะไร นอกจากนี้ยังพบว่าทารกชาวผิวดำจะพบเกิดเป็นไส้เลื่อนชนิดนี้ได้มากกว่าทารกชาวผิวขาวถึง 8 เท่า
2. ไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal hernia) พบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย และพบได้มากในวัยสูงอายุ เพราะเกิดจากกล้ามเนื้อและพังผืดของกระบังลมมีการหย่อนยานและเสียความยืดหยุ่น และมีปัจจัยเสี่ยงร่วมคือความดันในช่องท้องที่มากกว่าปกติโดยสามารถแบ่งออกเป็นได้ 2 ชนิดย่อยได้แก่
- Sliding hiatal hernia คือ การที่มีบางส่วนของกระเพาะอาหารนับตั้งแต่ส่วนต่อระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเคลื่อนที่ผ่านรูบริเวณกระบังลม (เป็นทางที่หลอดอาหารลอดเข้าสู่ช่องท้อง) เข้าไปอยู่ในช่องอก
- Paraesophageal hernia คือ การที่มีบางส่วนของกระเพาะอาหารเคลื่อนที่ผ่านรูบริเวณกระบังลมซึ่งอยู่ข้าง ๆ รูที่เป็นทางผ่านของหลอดอาหาร
3. ไส้เลื่อนตรงหน้าท้องเหนือสะดือ (Epigastric hernia) พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงในอัตราส่วน 3:1 แต่พบได้ค่อนข้างน้อย โดยเกิดจากชั้นกล้ามเนื้อและพังผืดของผนังหน้าท้องส่วนบนเหนือสะดือไม่แข็งแรง เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงคือความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นก็จะทำให้เนื้อเยื่อในช่องท้องเคลื่อนตัวผ่านผนังหน้าท้องที่อ่อนแอ แล้วดันออกมาตุงเป็นก้อนโป่งอยู่ที่บริเวณหน้าท้องได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อเยื่อไขมันภายในช่องท้อง มีเพียงส่วนน้อยที่จะมีส่วนของลำไส้ตามมาด้วย
4. ไส้เลื่อนบริเวณที่ต่ำกว่าขาหนีบ (Femoral hernia) พบได้ค่อนข้างน้อยเช่นกัน และเกือบทั้งหมดจะพบแต่ในผู้หญิงเท่านั้น โดยเกิดจากบางส่วนของลำไส้เคลื่อนที่ผ่านรูที่เรียกว่า Femoral canal ซึ่งอยู่ตรงบริเวณต่ำกว่าขาหนีบลงมา ทำให้ลำไส้ลงมากองเป็นก้อนตุงอยู่บริเวณที่ต่ำกว่าขาหนีบ และมีปัจจัยเสี่ยงคือความดันภายในช่องท้องที่เพิ่มขึ้น
5. ไส้เลื่อนตรงข้าง ๆ กล้ามเนื้อหน้าท้อง (Spigelian hernia) พบได้ในผู้หญิงมากกว่าในผู้ชายเล็กน้อย ส่วนมากพบตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป โดยเกิดจากชั้นพังผืดที่มีชื่อว่า Spigelian fascia ซึ่งอยู่บริเวณข้าง ๆ กับกล้ามเนื้อหน้าท้องชื่อ Rectus abdominis เกิดความหย่อนยานไม่แข็งแรง เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงคือความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวดันออกมาปรากฏเป็นก้อนโป่ง
6. ไส้เลื่อนภายในช่องเชิงกราน (Obturator hernia) พบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในอัตราส่วน 6:1 แต่เป็นชนิดพบได้น้อยมาก โดยเกิดจากบางส่วนของลำไส้เคลื่อนที่ผ่านรู Obturator foramen ซึ่งอยู่ตรงกระดูกเชิงกราน ส่วนใหญ่จะเกิดในผู้หญิง เนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคบริเวณเชิงกรานเอื้อต่อการเกิดมากกว่าในผู้ชาย
7. ไส้เลื่อนที่เกิดหลังผ่าตัด (Incisional hernia) พบได้ในคนทุกเพศทุกวัยที่เคยได้รับการผ่าตัดภายในช่องท้องมาก่อน (ประมาณ 2-10% ของผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัด) โดยเป็นไส้เลื่อนชนิดที่พบได้ในผู้ป่วยบางรายที่ก่อนผ่าตัดผู้ป่วยจะไม่มีก้อนตุงที่หน้าท้อง แต่ภายหลังจากได้รับการผ่าตัดช่องท้อง (อาจนานเป็นแรมเดือนหรือแรมปี) เมื่อแผลหายแล้ว กล้ามเนื้อและพังผืดของผนังหน้าท้องในบริเวณที่ผ่าตัดนั้นเกิดหย่อนยานกว่าปกติ จึงทำลำไส้เคลื่อนตัวดันออกมาตุงเป็นก้อนโป่งที่บริเวณแผลผ่าตัดได้
อาการของไส้เลื่อน
ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ (Inguinal hernia) เป็นไส้เลื่อนชนิดที่พบได้บ่อยในเด็กโตและผู้ใหญ่ อาจพบได้ประมาณ 1-2% ของประชากรทั่วไป พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเป็นสิบ ๆ เท่า (ประมาณ 25 เท่า) ส่วนใหญ่มักเกิดในวัยกลางคนจนถึงผู้สูงอายุ และนับเป็นไส้เลื่อนชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดประมาณ 75% ของไส้เลื่อนทั้งหมด และไส้เลื่อนชนิดนี้ยังแบ่งย่อยออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
- Indirect inguinal hernia เป็นไส้เลื่อนชนิดที่เกิดจากความผิดปกติมาตั้งแต่ตอนเป็นตัวอ่อนในครรภ์ โดยในขณะตั้งครรภ์อยู่ในช่วง 21-25 สัปดาห์ อัณฑะซึ่งอยู่ในช่องท้องจะเคลื่อนตัวลงมาอยู่ในช่องท้องที่บริเวณขาหนีบ และเคลื่อนตัวลงไปที่ถุงอัณฑะก่อนที่มารดาจะคลอดออกมาและช่องที่บริเวณขาหนีบก็จะปิดไป หากมีความผิดปกติเกิดขึ้น คือ ช่องไม่ปิด ลำไส้ก็จะเคลื่อนตัวมาอยู่ในช่องนี้และบางครั้งอาจเคลื่อนลงไปจนถึงถุงอัณฑะได้ ถึงแม้จะเป็นความผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด แต่การเกิดเป็นไส้เลื่อนได้นั้นมักจะพบเมื่อเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนขึ้นไปแล้ว แต่ในเด็กก็ยังสามารถพบได้บ้าง ส่วนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนชนิดนี้ได้มากกว่าเด็กที่คลอดตามกำหนดอีกด้วย
- Direct inguinal hernia เป็นไส้เลื่อนชนิดที่พบได้เฉพาะในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะวัยสูงอายุ โดยเกิดจากเนื้อเยื่อพังผืดชื่อว่า Transversalis fascia ซึ่งอยู่บริเวณขาหนีบในตำแหน่งเฉพาะที่เรียกว่า Hesselbach triangle เกิดความหย่อนยานไม่แข็งแรง จึงทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวดันพังผืดเหล่านี้ออกมาจนปรากฏเป็นถุงบริเวณขาหนีบ แต่จะไม่ลงไปอยู่ในถุงอัณฑะ
1. ไส้เลื่อนที่สะดือ (Umbilical hernia) หรือที่เรียกกันว่า “สะดือจุ่น” เมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว ผนังหน้าท้องตรงสะดือจะปิดไปตั้งแต่ชั้นของผิวหนัง ชั้นของกล้ามเนื้อ และมีชั้นของพังผืดเข้ามาปกคลุม ถ้าหากผนังหน้าท้องส่วนที่อยู่ใต้ชั้นของผิวหนังปิดไม่สนิทแล้ว บางส่วนของลำไส้ก็จะเคลื่อนตัวออกมาอยู่ใต้สะดือและดันจนสะดือโป่งได้ ซึ่งมักพบได้ในทารกแรกเกิด ถ้าเป็นทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะมีโอกาสพบได้มากขึ้น พบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชายในอัตราส่วน 3:1 และส่วนใหญ่มักจะหายได้เองภายในอายุ 2 ปี โดยไม่ต้องทำอะไร นอกจากนี้ยังพบว่าทารกชาวผิวดำจะพบเกิดเป็นไส้เลื่อนชนิดนี้ได้มากกว่าทารกชาวผิวขาวถึง 8 เท่า
2. ไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal hernia) พบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย และพบได้มากในวัยสูงอายุ เพราะเกิดจากกล้ามเนื้อและพังผืดของกระบังลมมีการหย่อนยานและเสียความยืดหยุ่น และมีปัจจัยเสี่ยงร่วมคือความดันในช่องท้องที่มากกว่าปกติโดยสามารถแบ่งออกเป็นได้ 2 ชนิดย่อยได้แก่
- Sliding hiatal hernia คือ การที่มีบางส่วนของกระเพาะอาหารนับตั้งแต่ส่วนต่อระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเคลื่อนที่ผ่านรูบริเวณกระบังลม (เป็นทางที่หลอดอาหารลอดเข้าสู่ช่องท้อง) เข้าไปอยู่ในช่องอก
- Paraesophageal hernia คือ การที่มีบางส่วนของกระเพาะอาหารเคลื่อนที่ผ่านรูบริเวณกระบังลมซึ่งอยู่ข้าง ๆ รูที่เป็นทางผ่านของหลอดอาหาร
3. ไส้เลื่อนตรงหน้าท้องเหนือสะดือ (Epigastric hernia) พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงในอัตราส่วน 3:1 แต่พบได้ค่อนข้างน้อย โดยเกิดจากชั้นกล้ามเนื้อและพังผืดของผนังหน้าท้องส่วนบนเหนือสะดือไม่แข็งแรง เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงคือความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นก็จะทำให้เนื้อเยื่อในช่องท้องเคลื่อนตัวผ่านผนังหน้าท้องที่อ่อนแอ แล้วดันออกมาตุงเป็นก้อนโป่งอยู่ที่บริเวณหน้าท้องได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อเยื่อไขมันภายในช่องท้อง มีเพียงส่วนน้อยที่จะมีส่วนของลำไส้ตามมาด้วย
4. ไส้เลื่อนบริเวณที่ต่ำกว่าขาหนีบ (Femoral hernia) พบได้ค่อนข้างน้อยเช่นกัน และเกือบทั้งหมดจะพบแต่ในผู้หญิงเท่านั้น โดยเกิดจากบางส่วนของลำไส้เคลื่อนที่ผ่านรูที่เรียกว่า Femoral canal ซึ่งอยู่ตรงบริเวณต่ำกว่าขาหนีบลงมา ทำให้ลำไส้ลงมากองเป็นก้อนตุงอยู่บริเวณที่ต่ำกว่าขาหนีบ และมีปัจจัยเสี่ยงคือความดันภายในช่องท้องที่เพิ่มขึ้น
5. ไส้เลื่อนตรงข้าง ๆ กล้ามเนื้อหน้าท้อง (Spigelian hernia) พบได้ในผู้หญิงมากกว่าในผู้ชายเล็กน้อย ส่วนมากพบตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป โดยเกิดจากชั้นพังผืดที่มีชื่อว่า Spigelian fascia ซึ่งอยู่บริเวณข้าง ๆ กับกล้ามเนื้อหน้าท้องชื่อ Rectus abdominis เกิดความหย่อนยานไม่แข็งแรง เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงคือความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นก็จะทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวดันออกมาปรากฏเป็นก้อนโป่ง
6. ไส้เลื่อนภายในช่องเชิงกราน (Obturator hernia) พบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในอัตราส่วน 6:1 แต่เป็นชนิดพบได้น้อยมาก โดยเกิดจากบางส่วนของลำไส้เคลื่อนที่ผ่านรู Obturator foramen ซึ่งอยู่ตรงกระดูกเชิงกราน ส่วนใหญ่จะเกิดในผู้หญิง เนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคบริเวณเชิงกรานเอื้อต่อการเกิดมากกว่าในผู้ชาย
7. ไส้เลื่อนที่เกิดหลังผ่าตัด (Incisional hernia) พบได้ในคนทุกเพศทุกวัยที่เคยได้รับการผ่าตัดภายในช่องท้องมาก่อน (ประมาณ 2-10% ของผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัด) โดยเป็นไส้เลื่อนชนิดที่พบได้ในผู้ป่วยบางรายที่ก่อนผ่าตัดผู้ป่วยจะไม่มีก้อนตุงที่หน้าท้อง แต่ภายหลังจากได้รับการผ่าตัดช่องท้อง (อาจนานเป็นแรมเดือนหรือแรมปี) เมื่อแผลหายแล้ว กล้ามเนื้อและพังผืดของผนังหน้าท้องในบริเวณที่ผ่าตัดนั้นเกิดหย่อนยานกว่าปกติ จึงทำลำไส้เคลื่อนตัวดันออกมาตุงเป็นก้อนโป่งที่บริเวณแผลผ่าตัดได้
อาการของไส้เลื่อน
อาการหลักของไส้เลื่อนคือจะคลำได้ก้อนโป่งในแต่ละตำแหน่งซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเป็นไส้เลื่อนชนิดใด
คือ
1. ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ (Inguinal hernia) ผู้ป่วยจะมีหน้าท้องตรงบริเวณขาหนีบอ่อนแอผิดปกติมาแต่กำเนิด แต่อาการของไส้เลื่อนมักจะปรากฏเมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน หรือเมื่อเป็นโรคไอเรื้อรัง เช่น ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ เป็นต้น โดยจะสังเกตเห็นมีก้อนตุงที่บริเวณขาหนีบหรือถุงอัณฑะ (มักพบเป็นข้างขวามากกว่าข้างซ้าย) เมื่อคลำดูจะพบว่าก้อนมีลักษณะนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด ซึ่งจะเห็นได้ชัดในขณะลุกขึ้นยืน ไอ จาม เบ่งถ่าย หรือเวลายกของหนัก เวลานอนหงายก้อนจะเล็กลงหรือยุบหายไป และอาการมีก้อนตุงผลุบ ๆ โผล่ ๆ นี้มักจะเป็นอยู่เรื้อรังนานเป็นแรมปี สิบ ๆ ปี หรือตลอดชีวิตจนกว่าจะได้รับการผ่าตัดแก้ไข ที่สำคัญไส้เลื่อนชนิดนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้ (อาจทำให้เกิดภาวะไส้เลื่อนชนิดติดคาแทรกซ้อน)
2. ไส้เลื่อนที่สะดือ หรือ สะดือจุ่น (Umbilical hernia) ทำให้ทารกอาการสะดือจุ่นหรือสะดือโป่งเวลาร้องไห้ ซึ่งจะเป็นมาตั้งแต่แรกเกิด โดยมักไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ หรือภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง และส่วนใหญ่จะหายได้เองภายในอายุ 2 ปี
3. ไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal hernia) สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนกระบังลมชนิด Sliding hernia ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดง แต่ส่วนน้อยจะมีอาการของโรคกรดไหลย้อน ได้แก่ แสบร้อนกลางอก จุกแน่นยอดอก คลื่นไส้ เรอบ่อย มีรสเปรี้ยวของกรดในคอ เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากหูรูดที่ทำหน้าที่กั้นระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารซึ่งอยู่ในช่องท้องเคลื่อนที่ขึ้นไปในช่องหน้าอกที่มีความดันน้อยกว่า จึงทำให้หูรูดเกิดการคลายตัว กรดในกระเพาะอาหารจึงไหลย้อนกลับขึ้นไปยังหลอดอาหารส่วนปลายและทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบตามมา ส่วนผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนกระบังลมชนิด Paraesophageal hernia จะไม่มีอาการเช่นกัน และเนื่องจากส่วนที่ขึ้นไปอยู่ในช่องอกไม่ใช่ส่วนของหูรูดซึ่งอยู่ระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยจึงไม่มีอาการของโรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้น แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีโอกาสเกิดภาวะไส้เลื่อนชนิดติดคาและไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัดได้
4. ไส้เลื่อนตรงหน้าท้องเหนือสะดือ (Epigastric hernia) ทำให้คลำได้ก้อนที่บริเวณหน้าท้องเหนือสะดือ และประมาณ 20% ของผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนชนิดนี้จะคลำก้อนได้หลายก้อน
5. ไส้เลื่อนบริเวณที่ต่ำกว่าขาหนีบ (Femoral hernia) ทำให้คลำได้ก้อนที่บริเวณติดชิดกับขาหนีบแต่อยู่บริเวณที่ต่ำกว่าขาหนีบ
6. ไส้เลื่อนตรงข้าง ๆ กล้ามเนื้อหน้าท้อง (Spigelian hernia) ทำให้คลำได้ก้อนตรงข้าง ๆ กล้ามเนื้อหน้าท้อง
7. ไส้เลื่อนภายในช่องเชิงกราน (Obturator hernia) ผู้ป่วยมักจะมีอาการของลำไส้อุดตันเกิดขึ้นเฉียบพลัน แล้วหายไปได้เอง โดยจะเกิดขึ้นแบบเป็น ๆ หาย ๆ มีส่วนน้อยจะคลำได้เป็นก้อนภายในช่องท้องน้อย นอกจากนี้อาจมีอาการปวดบริเวณต้นขาด้านในได้ ซึ่งเกิดจากการที่ไส้เลื่อนไปกดเส้นประสาทชื่อ Obturator nerve ซึ่งหากผู้ป่วยยืดต้นขาออกไปด้านหลังหรือจับต้นขาแบะออกจะทำให้มีอาการปวด ในทางตรงกันข้ามหากงอต้นขาอาการปวดของผู้ป่วยก็จะบรรเทาลง
1. ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ (Inguinal hernia) ผู้ป่วยจะมีหน้าท้องตรงบริเวณขาหนีบอ่อนแอผิดปกติมาแต่กำเนิด แต่อาการของไส้เลื่อนมักจะปรากฏเมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน หรือเมื่อเป็นโรคไอเรื้อรัง เช่น ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ เป็นต้น โดยจะสังเกตเห็นมีก้อนตุงที่บริเวณขาหนีบหรือถุงอัณฑะ (มักพบเป็นข้างขวามากกว่าข้างซ้าย) เมื่อคลำดูจะพบว่าก้อนมีลักษณะนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด ซึ่งจะเห็นได้ชัดในขณะลุกขึ้นยืน ไอ จาม เบ่งถ่าย หรือเวลายกของหนัก เวลานอนหงายก้อนจะเล็กลงหรือยุบหายไป และอาการมีก้อนตุงผลุบ ๆ โผล่ ๆ นี้มักจะเป็นอยู่เรื้อรังนานเป็นแรมปี สิบ ๆ ปี หรือตลอดชีวิตจนกว่าจะได้รับการผ่าตัดแก้ไข ที่สำคัญไส้เลื่อนชนิดนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้ (อาจทำให้เกิดภาวะไส้เลื่อนชนิดติดคาแทรกซ้อน)
2. ไส้เลื่อนที่สะดือ หรือ สะดือจุ่น (Umbilical hernia) ทำให้ทารกอาการสะดือจุ่นหรือสะดือโป่งเวลาร้องไห้ ซึ่งจะเป็นมาตั้งแต่แรกเกิด โดยมักไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ หรือภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง และส่วนใหญ่จะหายได้เองภายในอายุ 2 ปี
3. ไส้เลื่อนกระบังลม (Hiatal hernia) สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนกระบังลมชนิด Sliding hernia ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดง แต่ส่วนน้อยจะมีอาการของโรคกรดไหลย้อน ได้แก่ แสบร้อนกลางอก จุกแน่นยอดอก คลื่นไส้ เรอบ่อย มีรสเปรี้ยวของกรดในคอ เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากหูรูดที่ทำหน้าที่กั้นระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารซึ่งอยู่ในช่องท้องเคลื่อนที่ขึ้นไปในช่องหน้าอกที่มีความดันน้อยกว่า จึงทำให้หูรูดเกิดการคลายตัว กรดในกระเพาะอาหารจึงไหลย้อนกลับขึ้นไปยังหลอดอาหารส่วนปลายและทำให้หลอดอาหารเกิดการอักเสบตามมา ส่วนผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนกระบังลมชนิด Paraesophageal hernia จะไม่มีอาการเช่นกัน และเนื่องจากส่วนที่ขึ้นไปอยู่ในช่องอกไม่ใช่ส่วนของหูรูดซึ่งอยู่ระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยจึงไม่มีอาการของโรคกรดไหลย้อนเกิดขึ้น แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีโอกาสเกิดภาวะไส้เลื่อนชนิดติดคาและไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัดได้
4. ไส้เลื่อนตรงหน้าท้องเหนือสะดือ (Epigastric hernia) ทำให้คลำได้ก้อนที่บริเวณหน้าท้องเหนือสะดือ และประมาณ 20% ของผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนชนิดนี้จะคลำก้อนได้หลายก้อน
5. ไส้เลื่อนบริเวณที่ต่ำกว่าขาหนีบ (Femoral hernia) ทำให้คลำได้ก้อนที่บริเวณติดชิดกับขาหนีบแต่อยู่บริเวณที่ต่ำกว่าขาหนีบ
6. ไส้เลื่อนตรงข้าง ๆ กล้ามเนื้อหน้าท้อง (Spigelian hernia) ทำให้คลำได้ก้อนตรงข้าง ๆ กล้ามเนื้อหน้าท้อง
7. ไส้เลื่อนภายในช่องเชิงกราน (Obturator hernia) ผู้ป่วยมักจะมีอาการของลำไส้อุดตันเกิดขึ้นเฉียบพลัน แล้วหายไปได้เอง โดยจะเกิดขึ้นแบบเป็น ๆ หาย ๆ มีส่วนน้อยจะคลำได้เป็นก้อนภายในช่องท้องน้อย นอกจากนี้อาจมีอาการปวดบริเวณต้นขาด้านในได้ ซึ่งเกิดจากการที่ไส้เลื่อนไปกดเส้นประสาทชื่อ Obturator nerve ซึ่งหากผู้ป่วยยืดต้นขาออกไปด้านหลังหรือจับต้นขาแบะออกจะทำให้มีอาการปวด ในทางตรงกันข้ามหากงอต้นขาอาการปวดของผู้ป่วยก็จะบรรเทาลง
8. ไส้เลื่อนที่เกิดหลังผ่าตัด
(Incisional
hernia) เป็นไส้เลื่อนที่พบในผู้ป่วยบางรายที่ภายหลังได้รับการผ่าตัดช่องท้อง
เมื่อแผลหายแล้วผนังหน้าท้องในบริเวณที่ผ่าตัดนั้นเกิดหย่อนกว่าปกติ
ทำให้ไส้เคลื่อนตัวดันออกมาตุงเป็นก้อนโป่งที่บริเวณแผลผ่าตัด
จึงเห็นเป็นก้อนตุงขนาดใหญ่ตรงตำแหน่งแผลที่เคยผ่าตัดมาก่อน
โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด ซึ่งจะเห็นเป็นก้อนได้ชัดในท่ายืนหรือท่านั่ง
แต่เวลานอนก้อนจะเล็กลงหรือยุบลงไป และมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
แต่อย่างไรก็ตาม
อาการจะเป็นอยู่เรื้อรังจนกว่าจะได้รับการผ่าตัดแก้ไขเพื่อซ่อมผนังหน้าท้องให้แข็งแรงเป็นปกติ
ทั้งนี้ อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมได้คือ ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกปวดหน่วง ๆ ที่ก้อนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ถ้าอยู่ในท่านอน ส่วนของลำไส้มักจะเคลื่อนที่กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมและจะมองไม่เห็นก้อน แต่ถ้าผู้ป่วยอยู่ในท่ายืนหรือท่านั่ง ส่วนของลำไส้นี้ก็จะเคลื่อนตัวออกมาดันให้เห็นเป็นก้อนได้ และเมื่อออกแรงเบ่งเพิ่มความดันในช่องท้องเหมือนการเบ่งถ่ายหรือการร้องไห้ในเด็ก ก็จะยิ่งทำให้เห็นก้อนได้ชัดเจนมากขึ้น และหากใช้นิ้วดันก้อนเหล่านี้ ลำไส้ก็จะสามารถเคลื่อนตัวกลับเข้าไปสู่ช่องท้องได้ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อน
การมีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนชนิดต่าง ๆ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
- การจามหรือไอเรื้อรัง
- การเบ่งถ่ายอุจจาระ
- การปัสสาวะเป็นประจำ
- การร้องไห้
- การยกของหนักบ่อยๆ
- การมีน้ำหนักตัวมากหรือเป็นโรคอ้วน
- เป็นโรคถุงลมโป่งพอง
- ต่อมลูกหมากโต (ทำให้ต้องเบ่งเมื่อปัสสาวะ)
- เกิดภาวะมีน้ำในช่องท้องปริมาณมาก
- ในผู้หญิงตั้งครรภ์
- นอกจากนี้การที่มีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคไส้เลื่อน คนคนนั้นก็จะมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนได้มากกว่าคนที่ไม่มีประวัติในครอบครัว
ทั้งนี้ อาการอื่น ๆ ที่อาจพบร่วมได้คือ ผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกปวดหน่วง ๆ ที่ก้อนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ถ้าอยู่ในท่านอน ส่วนของลำไส้มักจะเคลื่อนที่กลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมและจะมองไม่เห็นก้อน แต่ถ้าผู้ป่วยอยู่ในท่ายืนหรือท่านั่ง ส่วนของลำไส้นี้ก็จะเคลื่อนตัวออกมาดันให้เห็นเป็นก้อนได้ และเมื่อออกแรงเบ่งเพิ่มความดันในช่องท้องเหมือนการเบ่งถ่ายหรือการร้องไห้ในเด็ก ก็จะยิ่งทำให้เห็นก้อนได้ชัดเจนมากขึ้น และหากใช้นิ้วดันก้อนเหล่านี้ ลำไส้ก็จะสามารถเคลื่อนตัวกลับเข้าไปสู่ช่องท้องได้ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อน
การมีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดไส้เลื่อนชนิดต่าง ๆ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่
- การจามหรือไอเรื้อรัง
- การเบ่งถ่ายอุจจาระ
- การปัสสาวะเป็นประจำ
- การร้องไห้
- การยกของหนักบ่อยๆ
- การมีน้ำหนักตัวมากหรือเป็นโรคอ้วน
- เป็นโรคถุงลมโป่งพอง
- ต่อมลูกหมากโต (ทำให้ต้องเบ่งเมื่อปัสสาวะ)
- เกิดภาวะมีน้ำในช่องท้องปริมาณมาก
- ในผู้หญิงตั้งครรภ์
- นอกจากนี้การที่มีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคไส้เลื่อน คนคนนั้นก็จะมีโอกาสเป็นไส้เลื่อนได้มากกว่าคนที่ไม่มีประวัติในครอบครัว
ภาวะแทรกซ้อนของไส้เลื่อน
อาจพบในผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ บางครั้งไส้เลื่อนอาจติดค้างอยู่ที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ จนไม่สามารถไหลหรือดันกลับเข้าช่องท้องได้ตามปกติเรียกว่า “ไส้เลื่อนชนิดติดคา” (Incarcerated hernia) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะลำไส้อุดตัน (Intestinal obstruction) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องและอาเจียนรุนแรงได้ ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา จะทำให้ลำไส้ส่วนที่ติดค้างอยู่นั้นถูกบีบรัดจนบวมและขาดเลือดไปเลี้ยง ในที่สุดลำไส้ก็จะเน่า เรียกว่า “ไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด” (Strangulated hernia) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องรุนแรง หากให้การรักษาด้วยการผ่าตัดรักษาไม่ทัน ลำไส้ที่เน่าตายก็จะเกิดการทะลุจนกลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) เชื้อโรคจากภายในลำไส้ก็จะกระจายไปทั่วท้องและเข้าสู่กระแสเลือด เกิดเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดตามมา ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง โอกาสเกิดไส้เลื่อนชนิดติดคาและไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัดจะแตกต่างกันไปในไส้เลื่อนแต่ละชนิด รวมทั้งในแต่ละบุคคลด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วไส้เลื่อนที่มีรูเปิดขนาดกว้างใหญ่จะมีโอกาสเกิดไส้เลื่อนชนิดติดคาได้น้อยกว่า นอกจากนี้ไส้เลื่อนที่เป็นมานานก็มีโอกาสเกิดไส้เลื่อนชนิดคาได้ด้วยน้อยกว่าไส้เลื่อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย
การวินิจฉัยโรคไส้เลื่อน
แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยจะตรวจทั้งในท่านอน ท่ายืน และให้ผู้ป่วยช่วยออกแรงเบ่ง ถ้าเป็นไส้เลื่อนการวินิจฉัยจะทำได้ไม่ยาก โดยแพทย์จะตรวจพบอาการมีก้อนตุงผลุบ ๆ โผล่ ๆ และก้อนมีลักษณะนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ กดไม่เจ็บ แต่สิ่งสำคัญของการวินิจฉัยคือการตรวจว่าเป็นไส้เลื่อนชนิดติดคา หรือไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัดหรือไม่ ส่วนในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าก้อนที่ตรวจพบนั้นเป็นไส้เลื่อนหรือไม่ แพทย์อาจส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเอกซเรย์ ตรวจอัลตราซาวนด์ เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนภายในช่องเชิงกราน ซึ่งมักจะคลำไม่ได้ก้อน แต่จะมีอาการของลำไส้อุดตันแบบเป็น ๆ หาย ๆ การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยการตรวจช่องท้องหรือช่องท้องน้อยด้วยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยยืนยัน
สำหรับไส้เลื่อนที่กระบังลมนั้นเนื่องจากส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดง การวินิจฉัยบางครั้งจึงเป็นการตรวจพบโดยบังเอิญจากการเอกซเรย์ปอด ซึ่งจะเห็นเงาผิดปกติในช่องท้อง และการตรวจยืนยันการวินิจฉัยอาจใช้การกลืนแป้งแล้วเอกซเรย์ หรือการส่องกล้องตรวจก็ได้ หรือบางครั้งอาจเผอิญตรวจพบได้จากการส่องกล้องเพื่อตรวจกระเพาะอาหาร เป็นต้น
การแยกโรค ก้อนที่พบบริเวณหน้าท้อง อาจเกิดจากสาเหตุอื่นก็เป็นได้ เช่น
- ก้อนฝี ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบวมแดงร้อน แตะถูกเจ็บ และไม่ยุบหายไปเวลานอนหงายเหมือนก้อนไส้เลื่อน
- ก้อนเนื้องอก มักจะมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ไม่ยุบ แตะถูกเจ็บ ต่างจากก้อนไส้เลื่อนที่จะมีลักษณะนุ่มๆ หยุ่นๆ เมื่อแตะถูกจะไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด
- โรคฝีมะม่วง (ในระยะเกิดฝี – Secondary LGV) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวมโตติดกันเป็นก้อนฝีขนาดใหญ่และเจ็บมากจนอาจเดินไม่ได้ และตรงกลางของฝีมักเป็นร่องของพังผืดคล้ายร่องมะม่วงอกร่อง และผิวหนังบริเวณที่เป็นฝีจะมีอาการอักเสบ บวม แดงร้อนร่วมด้วย
อาจพบในผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ บางครั้งไส้เลื่อนอาจติดค้างอยู่ที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ จนไม่สามารถไหลหรือดันกลับเข้าช่องท้องได้ตามปกติเรียกว่า “ไส้เลื่อนชนิดติดคา” (Incarcerated hernia) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะลำไส้อุดตัน (Intestinal obstruction) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องและอาเจียนรุนแรงได้ ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา จะทำให้ลำไส้ส่วนที่ติดค้างอยู่นั้นถูกบีบรัดจนบวมและขาดเลือดไปเลี้ยง ในที่สุดลำไส้ก็จะเน่า เรียกว่า “ไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด” (Strangulated hernia) ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องรุนแรง หากให้การรักษาด้วยการผ่าตัดรักษาไม่ทัน ลำไส้ที่เน่าตายก็จะเกิดการทะลุจนกลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) เชื้อโรคจากภายในลำไส้ก็จะกระจายไปทั่วท้องและเข้าสู่กระแสเลือด เกิดเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดตามมา ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง โอกาสเกิดไส้เลื่อนชนิดติดคาและไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัดจะแตกต่างกันไปในไส้เลื่อนแต่ละชนิด รวมทั้งในแต่ละบุคคลด้วย โดยส่วนใหญ่แล้วไส้เลื่อนที่มีรูเปิดขนาดกว้างใหญ่จะมีโอกาสเกิดไส้เลื่อนชนิดติดคาได้น้อยกว่า นอกจากนี้ไส้เลื่อนที่เป็นมานานก็มีโอกาสเกิดไส้เลื่อนชนิดคาได้ด้วยน้อยกว่าไส้เลื่อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย
การวินิจฉัยโรคไส้เลื่อน
แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยจะตรวจทั้งในท่านอน ท่ายืน และให้ผู้ป่วยช่วยออกแรงเบ่ง ถ้าเป็นไส้เลื่อนการวินิจฉัยจะทำได้ไม่ยาก โดยแพทย์จะตรวจพบอาการมีก้อนตุงผลุบ ๆ โผล่ ๆ และก้อนมีลักษณะนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ กดไม่เจ็บ แต่สิ่งสำคัญของการวินิจฉัยคือการตรวจว่าเป็นไส้เลื่อนชนิดติดคา หรือไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัดหรือไม่ ส่วนในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าก้อนที่ตรวจพบนั้นเป็นไส้เลื่อนหรือไม่ แพทย์อาจส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเอกซเรย์ ตรวจอัลตราซาวนด์ เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนภายในช่องเชิงกราน ซึ่งมักจะคลำไม่ได้ก้อน แต่จะมีอาการของลำไส้อุดตันแบบเป็น ๆ หาย ๆ การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยการตรวจช่องท้องหรือช่องท้องน้อยด้วยการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยยืนยัน
สำหรับไส้เลื่อนที่กระบังลมนั้นเนื่องจากส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดง การวินิจฉัยบางครั้งจึงเป็นการตรวจพบโดยบังเอิญจากการเอกซเรย์ปอด ซึ่งจะเห็นเงาผิดปกติในช่องท้อง และการตรวจยืนยันการวินิจฉัยอาจใช้การกลืนแป้งแล้วเอกซเรย์ หรือการส่องกล้องตรวจก็ได้ หรือบางครั้งอาจเผอิญตรวจพบได้จากการส่องกล้องเพื่อตรวจกระเพาะอาหาร เป็นต้น
การแยกโรค ก้อนที่พบบริเวณหน้าท้อง อาจเกิดจากสาเหตุอื่นก็เป็นได้ เช่น
- ก้อนฝี ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบวมแดงร้อน แตะถูกเจ็บ และไม่ยุบหายไปเวลานอนหงายเหมือนก้อนไส้เลื่อน
- ก้อนเนื้องอก มักจะมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ไม่ยุบ แตะถูกเจ็บ ต่างจากก้อนไส้เลื่อนที่จะมีลักษณะนุ่มๆ หยุ่นๆ เมื่อแตะถูกจะไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด
- โรคฝีมะม่วง (ในระยะเกิดฝี – Secondary LGV) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวมโตติดกันเป็นก้อนฝีขนาดใหญ่และเจ็บมากจนอาจเดินไม่ได้ และตรงกลางของฝีมักเป็นร่องของพังผืดคล้ายร่องมะม่วงอกร่อง และผิวหนังบริเวณที่เป็นฝีจะมีอาการอักเสบ บวม แดงร้อนร่วมด้วย
- ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ
ถ้าเป็นเฉียบพลันจะมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ปวด แดงร้อน และถ้าเป็นเรื้อรังมักจะเป็นก้อนแข็ง ไม่เจ็บ และกดไม่ยุบ
- ถุงน้ำที่อัณฑะ (Hydrocele) มีลักษณะเป็นก้อนนุ่ม คล้ายลูกโป่งใส่น้ำ กดไม่เจ็บและไม่ยุบ เวลาใช้ไฟฉายส่องจะเห็นเป็นโปร่งใส มักพบในเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิด มีส่วนน้อยที่อาจพบได้ตอนที่โตแล้วซึ่งมักพบได้ภายหลังการได้รับบาดเจ็บหรือเกิดการอักเสบที่ถุงอัณฑะ
- อัณฑะบิดตัว (Testicular torsion) เกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติของสายรั้งอัณฑะ (Spermatic cord) และเนื้อเยื่อที่ปกคลุมอัณฑะ ทำให้ถุงอัณฑะเกิดกว่าปกติและสามารถบิดหมุนรอบตัวเมื่ออายุมากขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดอัณฑะรุนแรง ตรวจพบเป็นก้อนบวม แตะถูกเจ็บและไม่ยุบ
- ถุงน้ำที่อัณฑะ (Hydrocele) มีลักษณะเป็นก้อนนุ่ม คล้ายลูกโป่งใส่น้ำ กดไม่เจ็บและไม่ยุบ เวลาใช้ไฟฉายส่องจะเห็นเป็นโปร่งใส มักพบในเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิด มีส่วนน้อยที่อาจพบได้ตอนที่โตแล้วซึ่งมักพบได้ภายหลังการได้รับบาดเจ็บหรือเกิดการอักเสบที่ถุงอัณฑะ
- อัณฑะบิดตัว (Testicular torsion) เกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติของสายรั้งอัณฑะ (Spermatic cord) และเนื้อเยื่อที่ปกคลุมอัณฑะ ทำให้ถุงอัณฑะเกิดกว่าปกติและสามารถบิดหมุนรอบตัวเมื่ออายุมากขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดอัณฑะรุนแรง ตรวจพบเป็นก้อนบวม แตะถูกเจ็บและไม่ยุบ