คลินิกเบาหวาน
มารู้จักโรคเบาหวานกัน

         คลินิกเบาหวาน โรงพยาบาลเพชรรัตน์ให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยเบาหวาน ภายใต้การดูแลจากทีมแพทย์รวมทั้งมีการส่งเสริมให้ได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานเพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานและญาติได้รับคำแนะนำที่ถูกวิธีในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันและการรับประทานอาหารที่เหมาะสม สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข

        “โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติได้” โรคเบาหวานเกิดจากร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินหรือไม่สามารถใช้ฮอร์โมนอินซูลินได้ ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในร่างกายไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ผลที่ตามมา คือ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ (มากกว่า 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร)

        เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ส่งผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ เช่น อวัยวะเพศ สมอง หัวใจและหลอดเลือด ตา ไต ระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคเบาหวานมีอะไรบ้าง
    1. ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ได้แก่ กรรมพันธุ์ อายุที่เพิ่มขึ้น เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า 4 กิโลกรัม
    2. ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ได้แก่ อ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารหวานมากเกินไป การใช้ยาบางชนิด

อาการเตือนของโรคเบาหวาน
        - กินเก่ง หิวเก่ง แต่น้ำหนักลด
        - ปัสสาวะบ่อย และอาจพบว่ามีมดตอมปัสสาวะหรือโถส้วม
        - หิวน้ำบ่อย เนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ
        - รู้สึกชาปลายมือ ปลายเท้า แขน ขา นิ้วมือ นิ้วเท้า
        - หย่อนสมรรถภาพทางเพศโดยเฉพาะผู้ชาย
        - เห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัว

ถ้าไม่ดูแลตนเอง ปล่อยให้น้ำตาลในเลือดสูงนานๆ จะเป็นอย่างไร
    1. อวัยวะเพศ: เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (นกเขาไม่ขัน)
    2. สมอง: เกิดภาวะสมองเสื่อม หลอดเลือดที่สมองตีบตัน เวียนหัว อาจทำให้เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
    3. หัวใจและหลอดเลือด: หลอดเลือดตีบแข็ง ความดันโลหิตสูง เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่ดีเกิดภาวะหัวใจวาย
    4. ตา: ต้อกระจก ต้อหิน ประสาทตาและจอประสาทตาเสื่อม ทำให้ตาพร่ามัว อาจทำให้ตาบอดได้
    5. ไต: เกิดภาวะไตวาย นำไปสู่การคั่งของสารพิษในร่างกาย ทำให้เกิดอาการบวม ความดันโลหิตสูง ซีด อาจถึงตาย
    6. ระบบประสาท: มีอาการชา หรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือปลายเท้า ทำให้เป็นแผลได้ง่ายโดยเฉพาะที่เท้า
    7. ภูมิต้านทานโรคต่ำ: ทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่าย เช่น เชื้อรา (กลากเกลื้อน เชื้อราที่เล็บและที่อับชื้น) ไวรัส (เริม งูสวัด ไข้หวัด) แบคทีเรีย (ฝี หนอง แผลรักษาหายยาก) หากติดเชื้อในกระแสเลือดอาจถึง ตาย
    8. ภาวะคีโตซีส: พบในรายที่ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากๆ และเป็นเวลานาน ทำให้มีการคั่งของสารคีโตน ปัสสาวะบ่อยจะทำให้กระหายน้ำ ความดันโลหิตต่ำ และอาจหมดสติได้

ปฏิบัติการ 10 ข้อ ป้องกันและควบคุมเบาหวาน
    1.  ลดอาหาร หวาน มัน เค็ม
         - อาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ชาเย็น กาแฟเย็น ขนมหวาน ผลไม่รสหวานจัด (สับปะรด ส้ม องุ่น ลำไย มะม่วงสุก มะขามหวาน ทุเรียน)
         - อาหารมัน เช่น เนื้อติดมัน อาหารที่มีกะทิหรือไข่แดงเป็นส่วนประกอบ ของทอด ขนมปัง เบเกอรี่ อาหารทะเล

         - อาหารเค็ม เช่น ผงชูรสหรือผงปรุงรส ขนมกรอบแกรบ ของหมักเกลือ ของหมักดอง
    2.  เพิ่มการรับประทานผัก ประมาณ 3-4 ถ้วยต่อวัน โดยเฉพาะผักที่มีรสขมและเย็น จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้ เช่น สะเดา มะระ ตำลึง บัวบก ย่านาง ชะพลู และผักใบเขียวอื่นๆ
    3.  เลือกรับประทานผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง มะละกอ แอปเปิ้ล สาลี่ และผลไม้รสเปรี้ยว
    4.  เลิกบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
    5.  ผ่อนคลายความเครียด ทำจิตใจให้สบาย
    6.  ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ อย่างน้อย 8 แก้วหรือ 2 ลิตรต่อวัน
    7.  พักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน
    8.  ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายจนเหนื่อย อย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
    9.  ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม สามารถคำนวณโดยใช้สูตร ดังนี้
        - ผู้ชาย น้ำหนักมาตรฐานเท่ากับ [  0.9 × (ส่วนสูง – 152) ] + 48.1
        - ผู้หญิง น้ำหนักมาตรฐานเท่ากับ [  1.1 × (ส่วนสูง – 152) ] + 45.5
    10. สังเกตอาการเตือน และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ ปีละ 1 ครั้ง

หากเป็นโรคเบาหวานแล้วควรดูแลตัวเองอย่างไร
    1 .ดูแลตนเองตามปฏิบัติการ 10 ข้อ
    2. รับประทานยาตามแพทย์สั่ง ไม่ควรหยุด เพิ่มหรือลด ขนาดยาเอง
    3. มาตรวจตามนัด
    4. หากมีอาการผิดปกติควรแจ้งแพทย์ทุกครั้ง
    5. หมั่นดูแลรักษาเท้าอย่าให้เกิดแผลหรือการอักเสบ

เจาะลึกค่าน้ำตาลที่ควรรู้

     1. Fasting blood sugar (FBS) การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงสามารถบ่งบอกระดับน้ำตาลในช่วงขณะนั้น แต่ไม่สามารถประเมินการรักษาในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาได้ ดังนั้นอาจไม่ทราบถึงสภาวะของโรคในระยะยาวที่ผ่านมาได้ชัดเจนนักดังนั้นคุณหมอจะตรวจ HbA1ของผู้ป่วยเบาหวานควบคู่การรักษาเสมอ
     2. Hemoglobin A1c  (HbA1c) ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด การตรวจ HbA1c สามารถดูผลการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในช่วงที่ผ่านมาเป็นเดือนๆได้ เนื่องจาก เป็นการนำผลของระดับน้ำตาลที่เกาะอยู่ที่ส่วนประกอบในเม็ดเลือดแดงที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน (hemoglobin) ซึ่งน้ำตาลนี้จะเกาะอยู่นานจนสิ้นอายุขัยของเม็ดเลือดแดงซึ่งระยะเวลานานถึง 3 เดือน มาตรวจหาค่าเฉลี่ย
        โดยผู้ป่วยเบาหวานมีเป้าหมายการลด Hb A1c ที่น้อยกว่า 7 mg% หากเป็นไปได้ควรน้อยกว่า 6.5 mg% เพราะสามารถลดการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ในระยะยาวได้

คำถามที่พบบ่อย
    1. ทำไมฉัน/ผมถึงเป็นโรคเบาหวาน
       ตอบ : สาเหตุหลักๆ ของโรคเบาหวาน คือ อาหารและพฤติกรรม ถ้าคุณเป็นโรคเบาหวาน ไม่ว่าจะประเภทที่ 1 หรือประเภทที่ 2 เราแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยการสังเกตการทานอาหารของคุณ อธิบายโรคนี้ง่ายๆ คือ ร่างกายคุณมีน้ำตาลอยู่ในเลือดมาก เพราะร่างกายของคุณ หรือเจาะจงเลยคือ ตับอ่อนของคุณ ผลิตอินซูลินออกมาไม่เพียงพอ ซึ่งเหตุผลก็คือ อวัยวะของคุณถูกภูมิคุ้มกันตัวคุณเองจู่โจม (เบาหวานประเภทที่ 1) หรืออวัยวะของคุณทำงานหนักมากจนเสื่อมลง (เบาหวานประเภทที่ 2)
   2. ควบคุม หรือหยุดการทานของหวานแล้ว ทำไมโรคเบาหวานไม่หายเสียที
        ตอบ : การทานของหวาน เป็นเพียงหนึ่งในสาเหตุเท่านั้น ซึ่งช่วยทำให้อาการเบาหวานดีขึ้นค่ะ แต่ควรจะปรับอาหารอย่างอื่นร่วมไปด้วย รวมไปถึงการปรับสมดุลร่างกาย และการขับพิษก็สำคัญเช่นกันค่ะ
    3. ตอนนี้ฉีดอินซูลินอยู่ จะรักษาหายได้ไหม
        ตอบ : ได้ค่ะ เริ่มจากการปรับอาหาร และเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพโดยเร็วที่สุด ก่อนที่เซลล์และอวัยวะคุณจะเสื่อมสภาพลงมากกว่านี้ เราได้เห็นผู้ป่วยเบาหวานที่ฉีดอินซูลินอาการดีขึ้นมากภายใน 1 เดือนเท่านั้นค่ะ
    4. ได้เริ่มดื่มน้ำสกัดสมุนไพรแล้ว แต่ทำไมค่าน้ำตาลถึงขึ้น
        ตอบ : ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นมานานแล้ว อาจจะมีอาการแบบนี้ได้ ซึ่งไม่ต้องกังวลค่ะ น้ำสกัดสมุนไพรของเราจะช่วยฟื้นฟูอวัยวะและปรับสมดุลการผลิตอินซูลินให้ดีขึ้น เมื่อระดับอินซูลินเปลี่ยนแปลง ก็จะเริ่มจับและนำส่งน้ำตาลที่ตกค้างในกระแสเลือดไปยังเซลล์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นพลังงาน ดังนั้น น้ำตาลที่ตกค้างอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ในตา หรือในข้อ ก็จะค่อยๆ ถูกปล่อยออกมาเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งในตอนนี้เป็นตอนที่ร่างกายกำลังปรับสมดุล และเป็นสิ่งที่ดีนะคะ ระยะนี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เกิน 1 เดือน ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายมีน้ำตาลสะสมไว้มากแค่ไหนค่ะ