อาการ
        1. ปวดศีรษะกรึ่งซีก อาจเป็นบริเวณขมับหรือท้ายทอยแต่บางครั้งก็อาจเป็นสองข้างพร้อมกันหรือสลับข้างกัน
        2. ลักษณะการปวดศีรษะ ส่วนมากมักจะปวดตุ๊บๆ นานครั้งหนึ่งเกิน 20 นาที ผู้ป่วยบางรายอาจมีปวดตื้อๆ สลับกันปวดตุ๊บๆ ในสมองก็ได้
        3. อาจมีคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย
        4. อาจมีอาการทางสายตาผิดปกติ ก่อนปวดศีรษะประมาณ 10-20 นาที เช่น เห็นแสงเป็นเส้น ๆ ระยิบ ระยับ แสงจ้าสะท้อน หรือเห็นภาพบิดเบี้ยวก่อนปวด

สาเหตุ
       1. พันธุกรรม ความเครียด
       2. การอดนอน หรือการทำงานหนักมากเกินไป ขาดการพักผ่อน
       3. การดื่มเหล้า กาแฟ ชา ผงชูรส
       4. อาการที่กระตุ้นเส้นเลือดในสมองหดตัว และขยายตัว ทำให้มีอาการปวดหัว ได้แก่ กล้วยหอม ช็อคโกแลต เนยแข็ง เบียร์ ไวน์
       5. สิ่งแวดล้อมกระตุ้นทางประสาทสัมผัส เช่น อากาศร้อน ฝุ่นควัน แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นฉุน กลิ่นบุหรี่
       6. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ช่วงมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ ช่วงหมดประจำเดือน หรือการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด

รับมือกับไมเกรน
        แม้ว่าอาการปวดศีรษะแบบไมเกรน จะรักษาไม่หาย แต่ผู้ป่วยก็สามารถดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาและลด  ความถี่ ในการถูกกระตุ้นจนเกิดอาการปวดได้ โดยปฏิบัติ ดังนี้
        1. หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นไมเกรน
        2. นอนหลับให้เพียงพอ ควรนอนให้ได้ประมาณ 6 – 8 ชั่วโมง
        3. หยุดพักเมื่อมีอาการปวดศีรษะ ควรพักผ่อนร่วมกับการประคบเย็นบริเวณต้นคอ พร้อมกับนวดบริเวณที่ปวดจะช่วยบรรเทาอาการปวด
        4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และลดความเครียด ลดความถี่ของการปวดศีรษะ

เมื่อใดควรไปพบแพทย์
        ถ้ามีอาการปวดศีรษะ แล้วมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้สูง ตาเห็นเป็นภาพซ้อน ตาเหล่ ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด ซึ่งอาการเหล่านี้ ไม่ใช่ไมเกรนแต่เป็นความผิดปกติทางระบบประสาท หรืออาการปวดศีรษะชนิดที่แปลกออกไป แบบที่ไม่เคยปวดมาก่อน เช่น ปวดต่อเนื่องยาวนานไม่ดีขึ้นแม้ใช้ยา แขนขาอ่อนแรง ชาครึ่งซีกพูดไม่ออก ถ้ามีอาการแบบนี้ต้องรีบไปพบแพทย์
        แม้อาการปวดศีรษะแบบไมเกรนเป็นประสบการณ์ที่แสนทรมาน แต่หากรู้จักรับมืออย่างถูกวิธีแล้วไมเกรนก็อาจไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของท่านอีกต่อไป